‘CRYING IN H MART พื้นที่ให้เศร้า’ คือหนังสือเล่มล่าสุดและเล่มสุดท้ายของปีนี้ที่แซลมอนภูมิใจนำเสนอให้ทุกคนได้อ่านกัน
หนังสือเล่มนี้เป็นบทบันทึกถึงความผูกพัน ความสัมพันธ์ในครอบครัว การรับมือกับการสูญเสียแม่ผู้เป็นที่รัก และช่วงเวลาแห่งการเติบโตของ ‘มิเชลล์ ซอเนอร์’ (Michelle Zauner) ลูกครึ่งเกาหลี-อเมริกัน นักร้องและมือกีตาร์ของวงดนตรีอินดี้ร็อกที่หลายคนอาจจะรู้จักอย่าง ‘Japanese Breakfast’
วันนี้เราเลยจะพาทุกคนไปสำรวจเพลย์ลิสต์หรือบทเพลงที่มิเชลล์ได้รับแรงบันดาลใจระหว่างเขียนหนังสือ พร้อมกับอินไซด์ว่าแต่ละบทเพลงเกี่ยวข้องกับแต่ละเรื่องใน ‘CRYING IN H MART’ อย่างไร แถมใครที่เป็นแฟนมิเชลล์ในนาม Japanese Breakfast ก็ไม่ควรพลาด เพราะเธอบอกอีกด้วยว่าในเล่มมี Easter Egg เกี่ยวกับวงอยู่เพียบ
![](https://salmonbooks.net/wp-content/uploads/2023/10/221216_SAL-HMSONG-02-1024x1024.png)
‘Little Big League’ คือวงดนตรีของมิเชลล์ก่อนจะมีวง ‘Japanese Breakfast’
ตอนทำวงนี้ มิเชลล์อายุราว 25 ปี และต่อให้เธอดิ้นรบกับวงนี้พอสมควร แต่ Little Big League ก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไร แถมถึงจุดหนึ่งเธอก็ต้องตัดสินใจพักวงเพื่อไปดูแลแม่ที่ป่วยอยู่ด้วย
อย่างไรก็ตาม เนื้อหาของเพลงนี้พูดถึงการค้นพบอาการป่วยของอึนมี ผู้เป็นน้า ซึ่งเกิดขึ้นก่อนหน้าแม่ของเธอ นอกจากนี้ มิเชลล์ยังเอาชื่อนี้ไปตั้งเป็นชื่อบทหนึ่งใน ‘CRYING IN H MART’ ซึ่งในฉบับแปลไทยใช้ชื่อว่า ‘ความมืด’ ด้วย
![](https://salmonbooks.net/wp-content/uploads/2023/10/221216_SAL-HMSONG-03-1024x1024.png)
หนึ่งในความทรงจำช่วงที่มิเชลล์เป็นวัยรุ่นคือการดาวน์โหลดเพลงจาก LimeWire (โปรแกรมดาวน์โหลดเพลงซึ่งเป็นที่นิยมช่วงทศวรรษ 2000) และโต้เถียงกับตัวเองและชาวเน็ตว่าเพลง ‘Everlong’ ในเวอร์ชั่นอะคูสติกดีกว่าเวอร์ชั่นต้นฉบับหรือไม่
แล้วเธอก็ได้คำตอบว่าเวอร์ชั่นอะคูสติกนั้นทำให้ได้ยินเนื้อเพลงลื่นไหลมากกว่า จนทำให้มิเชลล์รู้สึกราวกับว่า เธอเป็นนักวิจารณ์ที่ฉลาดเอามากๆ
![](https://salmonbooks.net/wp-content/uploads/2023/10/221216_SAL-HMSONG-04-1024x1024.png)
ช่วงอายุประมาณ 13-14 ปีเป็นช่วงเวลาที่มิเชลล์เข้าสู่โลกของดนตรี ในวัยนั้นเธอคิดว่าคลาสสิกร็อกคือแนวเพลงที่ดีที่สุด ทำให้เธอฟังแต่เพลงแนวนี้ จนกระทั่งก้าวเข้าสู่วัย 15-16 ปี เธอได้ฟังเพลงของวง ‘Modest Mouse’ แล้วรู้สึกว่า ‘นี่แหละคือแนวเพลงที่เธอชอบ!’
Modest Mouse เป็นวงฮอตฮิตในกลุ่มเธอและเพื่อนๆ จนมิเชลล์นับถือ ‘ไอแซก บร็อก’ (Isaac Brock นักร้องนำและนักแต่งเพลงของ Modest Mouse) เป็นดังเทพเจ้า เป็นเหมือนนักกวีสุดคูลในยุคของพวกเธอ เขาทั้งมีพลัง เท่ เซ็กซี่ และมีความกล้าหาญ ช่วงวัยที่เต็มไปด้วยความกังวลและว้าวุ่น Modest Mouse เลยเป็นวงดนตรีที่เธอรักมาก
![](https://salmonbooks.net/wp-content/uploads/2023/10/221216_SAL-HMSONG-05-1024x1024.png)
ในบท ‘ไวน์อยู่ไหนนะ?’ (Where’s the Wine?) ที่พูดถึงการตกหลุมรักในบทเพลงของมิเชลล์ เธอได้พูดถึงการรู้จัก ‘คาเรน โอ’ (Karen O) นักร้องนำวง Yeah Yeah Yeahs เป็นครั้งแรกจากดีวีดีของเพื่อน
การได้ดูคาเรนในดีวีดีวันนั้นทำให้ชีวิตของมิเชลล์เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง คาเรนทั้งพ่นน้ำใส่ตัวเองและหยิบจับไมโครโฟนในแบบที่มิเชลล์ไม่เคยเห็นมาก่อน ที่สำคัญเธอยังเป็นลูกครึ่งเกาหลี-อเมริกันเหมือนกันกับเธอ
ในยุคที่ชายผิวขาวเป็นใหญ่ การเห็นศิลปินหญิงลูกครึ่งแบบนี้เป็นเรื่องที่น่าประทับใจมาก มิเชลล์รู้สึกว่าเธอมีอะไรเหมือนกันและเชื่อมโยงถึงตัวคาเรน ศิลปินคนนี้จึงถือเป็นบุคคลต้นแบบที่มีความสำคัญในชีวิตของมิเชลล์
![](https://salmonbooks.net/wp-content/uploads/2023/10/221216_SAL-HMSONG-06-1024x1024.png)
ในบท ‘ไวน์อยู่ไหนนะ?’ (Where’s the Wine?) มิเชลล์พูดถึงคนคนหนึ่งชื่อ ‘นิก ฮอว์เลย์-เกมเมอร์’ (Nick Hawley-Gamer) หนุ่มสุดคูลที่มีวงดนตรีของตัวเองชื่อ The Barrowites ในช่วงมัธยมต้น ซึ่งเขามีส่วนอย่างมากในการทำให้มิเชลล์อินกับดนตรีมากขึ้น
ช่วงนั้นมิเชลล์ไปหาซีดีของ The Barrowites มาฟัง และหนึ่งในนั้นก็มีเพลงชื่อว่า ‘Molly’s Lips’ ซึ่งมิเชลล์สงสัยว่าใครคือมอลลี ใช่แฟนเก่าของนิกหรือเปล่า ก่อนจะรู้ในภายหลังว่ามันคือการคัฟเวอร์บทเพลงของวง ‘Nirvana’ (ซึ่งอันที่จริงแล้ว ฉบับของ Nirvana ก็คัฟเวอร์มาจากวง ‘The Vaseline’ อีกทีหนึ่ง)
![](https://salmonbooks.net/wp-content/uploads/2023/10/221216_SAL-HMSONG-07-1024x1024.png)
เพลง ‘After Hours ’ของ ‘The Velvet Undergroud’ เป็นหนึ่งในเพลงที่มิเชลล์นำมาคัฟเวอร์ในช่วงที่เริ่มเล่นดนตรีตอนอายุ 16
มิเชลล์ชอบเสียงของ ‘โม ธักเกอร์’ (Moe Thucker มือกลองประจำวง) เธอบอกว่ามีเสียงของนักร้องร็อกผู้หญิงไม่กี่คนที่จะสามารถร้องตามได้อย่างง่ายๆ และในบท ‘ไวน์อยู่ไหนนะ?’ (Where’s the Wine?) มิเชลล์ก็เล่าเรื่องที่เธอหัดเล่นเพลงนี้ให้นิกฟังที่ใต้ต้นไม้ในสนามฟุตบอลของโรงเรียนด้วย
![](https://salmonbooks.net/wp-content/uploads/2023/10/221216_SAL-HMSONG-08-1024x1024.png)
โชว์แรกในฐานะนักดนตรีของมิเชลล์จัดแสดงที่ WOW Hall (สถานที่จัดงานในยูจีน รัฐโอเรกอน) เป็นการเล่นเปิดให้กับ ‘Maria Taylor’ ซึ่งตอนนั้นมิเชลล์อายุ 16 ปี และเธอรักเพลงในอัลบั้มนี้มากๆ
ตอนนั้นระหว่างรอขึ้นแสดง มาเรีย เทย์เลอร์ เดินเข้ามาในห้องที่มิเชลล์นั่งอยู่และพูดประโยคว่า ‘ไวน์อยู่ไหนนะ?’ (Where’s the Wine?) ซึ่งนี่ก็คือที่มาให้มิเชลล์นำมาใช้เป็นชื่อบทในหนังสือ
![](https://salmonbooks.net/wp-content/uploads/2023/10/221216_SAL-HMSONG-09-1024x1024.png)
มิเชลล์อินกับบทเพลงของ ‘ลีโอนาร์ด โคเฮน’ (Leonard Cohen)’ ตอนที่เริ่มโตขึ้น มิเชลล์มีแผ่นเสียงของโคเฮนและเล่นมันด้วยเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่เธอตกแต่งด้วยการเพนต์ลายจุด (ซึ่งเธอรู้สึกว่ามันน่าเกลียด)
มิเชลล์ชอบเพลง ‘Chelsea Hotel #2’ โดยเฉพาะท่อนที่ร้องว่า “We are ugly, but we have the music.” (เราล้วนน่าเกลียด แต่เรามีเสียงดนตรี) เธอรู้สึกว่าเพลงท่อนนี้คือเธอเลย! นอกจากนี้ การฟังเพลงของโคเฮนทำให้เธอรู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นเด็กวัยรุ่นที่ฉลาดและเหนือกว่าเพื่อนคนอื่นๆ
![](https://salmonbooks.net/wp-content/uploads/2023/10/221216_SAL-HMSONG-10-1024x1024.png)
หนึ่งในโมเมนต์ดีๆ ที่เกิดขึ้นหลังจากแม่ของมิเชลล์ป่วย คือการอยู่บนรถและได้ฟังเพลง ‘Tell Him’ หลังจากพาแม่ไปหาหมอ
ตอนเด็กๆ มิเชลล์และแม่มักเปิดเพลงนี้และเต้นไปด้วยกัน เธอเชื่อว่าแม่และลูกสาวทุกคนจะมีเพลงๆ หนึ่งที่พวกเขาจะฮัมมันออกมา และการเปิดเพลงนี้ในรถวันนั้นก็เป็นเรื่องน่าจดจำสำหรับมิเชลล์ เพราะนอกจากจะได้ร้องไปกับแม่แล้ว เธอยังจำถึงเหตุการณ์นั้นได้ชัดเจนและนำมาบันทึกไว้ในหนังสือด้วย
![](https://salmonbooks.net/wp-content/uploads/2023/10/221216_SAL-HMSONG-11-1024x1024.png)
มิเชลล์ไม่เคยรู้จักเพลงนี้เลยจนกระทั่งได้พบกับ ‘ปีเตอร์’ ว่าที่สามีที่บาร์ชื่อ 12 Steps Down เธอเจอเขาตอนอายุ 23 ปี และเขาก็เหมือนคนบ้าๆ บอๆ ที่กำลังร้องเพลงความยาวเจ็ดนาทีครึ่งในสถานที่ที่มีคนรอร้องเพลงอยู่เต็มไปหมด จนทำให้มิเชลล์เกิดความรู้สึกในแวบแรกกับปีเตอร์ว่า “ไอ้บ้านี่มันใครเนี่ย”
![](https://salmonbooks.net/wp-content/uploads/2023/10/221216_SAL-HMSONG-12-1024x1024.png)
เพลงนี้เป็นเพลงที่มิเชลล์เต้นในงานแต่งของตัวเอง แม้ว่ามันจะเป็นเพลงที่ดูแปลกไปสักหน่อยสำหรับงานมงคลสมรส หากว่าเธอและปีเตอร์คลั่งใคล้ ‘The Capenters’ มาก และเพลงนี้ก็ทำให้เธอนึกถึงวันแรกของความสัมพันธ์ นอกจากนี้ยังเป็นเพลงที่มิเชลล์ร้องคาราโอเกะที่เวียดนามด้วย
![](https://salmonbooks.net/wp-content/uploads/2023/10/221216_SAL-HMSONG-13-1024x1024.png)
ในบทที่ 15 มิเชลล์เขียนถึงตอนที่เธอไปเวียดนามและมีปัญหากับพ่อ เธอเลยแยกกับพ่อแล้วไปบาร์คาราโอเกะ ก่อนจะกับหญิงสาวชาวเวียดนามผู้เลือกเพลงนี้ขึ้นมาร้อง ซึ่งในเวลานั้นมันปลอบโยนมิเชลล์ผู้ที่เพิ่งผ่านช่วงเวลาที่หนักหน่วง และทำให้เธอรู้สึกเบิกบานขึ้น
![](https://salmonbooks.net/wp-content/uploads/2023/10/221216_SAL-HMSONG-14-1024x1024.png)
หนังสือเล่มนี้จบลงในช่วงที่มิเชลล์เริ่มต้นทำอัลบั้ม ‘Psychopomp’ และนี่เป็นเพลงแรกที่มิเชลล์ทำหลังจากที่แม่จากไป โดย ‘In Heaven’ เล่าเรื่องราวในช่วงเวลาที่มิเชลล์เจ็บปวดและบอบบาง
ช่วงเวลานั้นมิเชลล์เขียนเพลงนี้ในกระท่อมเล็กๆ ของที่บ้าน โดยนอกจากจะได้แรงบันดาลใจจากการสูญเสียของตัวเอง มิเชลล์ยังได้แรงบันดาลใจจากจูเลีย หมาของครอบครัวด้วย
มิเชลล์เห็นจูเลียเดินไปเดินมาแถวประตูห้องนอนของแม่ ซึ่งแน่นอนว่าจูเลียคงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และมันคงสงสัยว่าแม่ไปไหน หลังจากนั้นจูเลียก็เอาแต่เลียเท้าตัวเอง จนมิเชลล์ต้องพามันไปหาสัตวแพทย์ ก่อนจะได้รับคำตอบว่านี่เป็นการแสดงความรู้สึกเศร้าของจูเลีย
นอกจากนี้ ‘In Heaven’ ยังมีที่มาที่ไปจากคำพูดของเพื่อนๆ พ่อแม่มิเชลล์ที่มักจะพูดว่า “แม่ของเธอไปในที่ที่ดีกว่าแล้ว” “เธอไปสวรรค์แล้ว” ซึ่งมิเชลล์ไม่ได้เชื่อในเรื่องดังกล่าว เธอเลยคิดว่าอะไรๆ อาจจะง่ายกว่านี้ ถ้าเธอเชื่อแบบนั้น และเพลง ‘In Heaven’ ก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่มิเชลล์ถ่ายทอดออกมา
![](https://salmonbooks.net/wp-content/uploads/2023/10/221216_SAL-HMSONG-15-1024x1024.png)
ช่วงท้ายของ ‘CRYING IN H MART’ มิเชลล์ในนามของ Japanese Breakfast ได้ทัวร์คอนเสิร์ตในเอเชีย และเธอก็ได้ขึ้นแสดงที่โซล
การทัวร์ครั้งนี้ทำให้เธอได้รู้จักเพลงของ ‘ชิน จองฮย็อน’ (Shin Joong Hyun) โปรดิวเซอร์และนักแต่งเพลงชื่อดังของเกาหลี เพลงที่เขาแต่งได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงยุค 60-80 และหนึ่งในเพลงฮิตนั้นมีเพลงชื่อว่า ‘Haenim’
ระหว่างที่มิเชลล์กำลังเดินเล่นกับลุงและป้า ปีเตอร์ก็ถามขึ้นมาว่ารู้จักชิน จองฮย็อน มั้ย แม้ป้าของเธอจะสงสัยว่ามิเชลล์และปีเตอร์รู้จักได้ยังไง แต่นั่นก็นำไปสู่คำตอบที่ว่าป้ารู้จักดี แถมแม่ของมิเชลล์ยังชอบเพลงที่เขาแต่งให้กับวง Pearl Sisters มาก โดยเพลงนั้นชื่อว่า ‘Coffee Hanjan’
มิเชลล์รู้สึกว่าเหตุการณ์นี้เป็นดังเรื่องราวที่ถูกกำหนดไว้ การที่เธอได้รู้จักชิน จองฮย็อน จากคนอื่นนำพามาให้เธอได้รู้จักเพลงโปรดของแม่ ซึ่งสำหรับมิเชลล์แล้ว นี่ไม่ต่างอะไรกับสัญญาณที่บ่งบอกว่าแม่ยังมองดูเธออยู่ และนี่อาจเป็นหนทางที่ทำให้มิเชลล์เชื่อมต่อกับแม่ และจดจำแม่ไว้ได้ตลอดไป
ฟังเพลย์ลิสต์นี้ได้ที่ Spotify และ Youtube
อ้างอิง: gq.com/story/japanese-breakfast-michelle-zauner-crying-in-h-mart-playlist
cryinginhmart