ว.1 เรียก ว.2 ใครเป็นสาย True Crime ฟังทางนี้ ทราบแล้วเปลี่ยน 🚨
เราขอชวนทุกคนมาย้อนรอยคดีอาชญากรรมไทยไปกับอัลบั้มภาพจริงจากจุดเกิดข่าว มีทั้งข่าวดังอย่างคดีเพชรซาอุฯ ไปจนถึงข่าวเก่าที่ทุกคนอาจไม่คุ้นหู แต่บอกเลยว่าแต่ละคดีมีความน่าสนใจเฉพาะตัว เพราะทุกภาพถูกคัดสรรโดย ‘ณัฐกมล ไชยสุวรรณ’ อดีตนักข่าวผู้เคยลงพื้นที่จริง ทั้งยังเป็นผู้เขียนหนังสือ ‘BASED ON THAI CRIME STORIES คดีเดือดจากจุดเกิดข่าว’ หนังสือที่มัดรวม 13 เรื่องเล่าจากข่าวอาชญากรรมไทยสุดเดือด พร้อมบอกเล่าเบื้องหลังการทำข่าว ที่มาที่ไป และบทสรุปของคดีดังหลากหลายคดี
ทดลองอ่านบางข่าวก่อนได้ในบทความนี้ หากติดใจก็ไปจับจองกันได้ที่ร้านหนังสือทั่วไป หรือคลิกที่นี่ได้เลยนะ salmonbooks.net/product/thaicrimes/

เริ่มด้วยข่าวปล้นธนาคาร แต่บอกเลยว่านี่ไม่ใช่การปล้นธนาคารแบบที่เราเห็นบ่อยๆ ในหนัง เพราะอาชญากรที่ว่านั้นดันประกอบอาชีพ ‘พนักงานธนาคาร’ เสียเอง
ช่วงเช้าของวันที่ 8 กันยายน 2554 ร้อยเวร สน.พหลโยธินได้รับแจ้งจากสองสาวพนักงานธนาคารว่าทรัพย์สินในตู้เซฟของธนาคารหายไป ซึ่งทรัพย์สินที่หายไปกลับไม่ใช่ของลูกค้าธนาคาร แต่เป็นทรัพย์สินของพนักงานสามคน
ผู้เสียหายคนแรกบอกว่าทรัพย์สินและเครื่องพระราคาแพง มูลค่ารวม 20 บาทสูญหาย ผู้เสียหายคนที่สองบอกว่าทองรูปพรรณและเครื่องเพชรหายไป ส่วนผู้เสียหายคนสุดท้ายบอกว่าเงินสดและนาฬิกายี่ห้อดังราคาแพงถูกหยิบออกไป สืบไปสืบมา นำไปสู่ทฤษฎีเบื้องต้นว่า ผู้ร้ายสามารถเปิดตู้เซฟด้วยกุญแจตามปกติ ดังนั้นผู้ก่อเหตุไม่น่าใช่คนภายนอก แต่เป็นคนในธนาคารนี่แหละ!
ตำรวจจึงพุ่งเป้าไปที่พนักงานทั้งสามคน โดยเริ่มจากให้แต่ละคนเขียนลิสต์ทรัพย์สินที่สูญหาย พร้อมกับไล่ตรวจสอบว่าข้าวของเหล่านั้นมีอยู่จริงในโลกหรือไม่
เนื่องจากพนักงานสองคนแรกแจกแจงที่มาทรัพย์สินได้หมด ความน่าสงสัยจึงไปตกอยู่กับพนักงานหนุ่มคนสุดท้ายผู้มีอายุ 25 ปี โดยเขากล่าวว่าทรัพย์สินที่สูญหายประกอบไปด้วยนาฬิกาหรูและธนบัตร ทว่าเขายังคงมีเงินซื้อรถหรูป้ายแดงแม้จะมีเงินเดือนราว 15,000 บาท และเพิ่งทำงานเพียงสองปี
ด้วยหลักฐานหลายอย่างที่มัดตัว ตำรวจจึงจับผู้ต้องหาได้สำเร็จ แต่กว่าจะไปถึงจุดนั้น ตำรวจและนักข่าวก็ต้องงัดสารพัดวิธีมาสืบหาความจริง ถ้าหากใครอยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติม ไปอ่านได้ใน ‘BASED ON THAI CRIME STORIES คดีเดือดจากจุดเกิดข่าว’

ย้อนกลับไปในปี 2553 ตำรวจเมืองกรุงต่างขวัญผวา เพราะพวกเขาต้องตามล่า ‘ฆาตกรต่อเนื่อง’ ที่ทำร้าย รปภ.จนเสียชีวิตถึงสี่ศพด้วยกัน โดยวิธีฆาตกรรมที่เลือกใช้นั้นคือการตีเหยื่อด้วยของแข็งจนเสียชีวิตคล้ายๆ กันทุกคดี
ช่วงแรก เหล่านักสืบคิดว่าสาเหตุการลงมือมาจากการทะเลาะวิวาท แต่ก็ไม่พบว่า รปภ.ที่บาดเจ็บหรือเสียชีวิตเคยมีปมบาดหมางกับเพื่อนร่วมงานถึงขั้นรุนแรงพอจะนำไปสู่การฆาตกรรมได้ ชุดสืบสวนจึงตั้งธงไปที่ประเด็นทำร้ายเพื่อหวังทรัพย์สิน
หลังจากนั้น ตำรวจจึงสอบถามเพื่อนร่วมงานและหัวหน้าเพื่อขอเบอร์ผู้บาดเจ็บ เพื่อจะนำมาเช็กข้อมูลโทรศัพท์ว่ามีการเปิดพิกัดอยู่ที่ตำแหน่งใด เมื่อติดตามจนพบสัญญาณโทรศัพท์ก็พบว่ามีการเคลื่อนไหวและไปหยุดอยู่ที่ห้างซีคอนสแควร์ คาดว่าฆาตกรนำมาขาย เลยตระเวนหาร้านที่รับซื้อจนเจอ พร้อมหลักฐานการรับซื้อและสำเนาบัตรประชาชนของคนที่นำมือถือมาปล่อย
การจับกุมครั้งนี้กลายเป็นข่าวใหญ่ เพราะไม่มีใครคิดว่าจะมีฆาตกรต่อเนื่องไล่ฆ่า รปภ. โดยฆาตกรให้การว่าช่วงเวลาตี 2-3 ของทุกคืนจะขี่มอเตอร์ไซค์ตระเวนดู รปภ.ตามสถานที่ต่างๆ หากเห็นใครหลับก็ทำเป็นเดินขาเป๋ มีไม้เท้ายัน และใช้ไม้เท้าที่ว่าเป็นอาวุธสังหาร แล้วจัดฉากทำเหมือนว่าอีกฝ่ายหลับ ก่อนล้วงเอาทรัพย์สินไป
แม้จะปิดคดีได้อย่างเรียบร้อย แต่เมื่อตำรวจหันไปมองของกลางซึ่งประกอบด้วยโทรศัพท์มือถือ 10 เครื่องที่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นของใคร ก็ทำให้เหล่าตำรวจและนักสืบรู้สึกหวั่นใจ
มือถือที่วางเรียงรายอยู่ในภาพ นับเป็นเครื่องสะท้อนความโหดร้ายของอาชญากรต่อเนื่องคนนี้ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งเรายังไม่อาจรู้ได้ว่าเหยื่อที่แท้จริงของฆาตกรมีจำนวนเท่าไหร่กันแน่

คดีเพชรซาอุฯ ที่ทุกคนอาจเคยได้ยินกันจนคุ้นหู เริ่มต้นจาก ‘เกรียงไกร เตชะโม่ง’ ซึ่งเป็นแรงงานไทยเดินทางไปทำงานที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย และถูกจัดให้เข้าไปทำงานเป็นพนักงานทำความสะอาดภายในพระราชวังของกษัตริย์
เกรียงไกรเดินทางกลับไทยก่อนครบสัญญาว่าจ้าง โดยสิ่งที่เขานำติดตัวกลับบ้านเกิด นอกจากเงินทองที่เป็นค่าจ้างแล้ว ยังมีเครื่องเพชรของเจ้าชายจำนวน 122 รายการ มูลค่าราว 500 ล้านบาทที่เขาขโมยกลับมาด้วย
เมื่อเขาเดินทางถึงประเทศไทยจึงเร่นำเพชรไปขายทันที ระยะเวลาผ่านไปหลายเดือนกว่าเจ้าชายจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อตรวจสอบเรียบร้อยว่าเกรียงไกรขโมยทรัพย์สินไป จึงรีบประสานกับทางการไทยให้ช่วยตาม
10 มกราคม 2533 เกรียงไกรถูกจับกุม ซึ่งเจ้าตัวก็รับสารภาพแต่โดยดี แม้ดูเหมือนว่าคดีจะจบลงเรียบร้อย แต่เจ้าหน้าที่ก็ยังได้ของกลางกลับมาไม่ครบ เนื่องจากพ่อค้าที่รับซื้อเพชรบางคนตุกติก คืนครบบ้าง ไม่ครบบ้าง
ระหว่างนี้ เจ้าหน้าที่ก็ไม่นิ่งนอนใจ พวกเขาส่งเพชรที่ได้คืนมาบางส่วนกลับไปยังซาอุดิอาระเบีย ผ่านไปไม่นาน ทางซาอุฯ ก็ติดต่อกลับมา พร้อมแจ้งข่าวที่ทำให้ประเทศไทยเสียหน้าอย่างรุนแรงว่าเพชรที่ส่งคืนไปนั้นมีของปลอมปะปน
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของมหากาพย์ ‘คดีปล้นเพชรซาอุฯ’ เพราะคดีนี้กินเวลานานหลายปี อีกทั้งกลายเป็นเรื่องใหญ่โตเมื่อ ‘พันศักดิ์ มงคลศิลป์’ พันตำรวจโทหนุ่มแห่งเมืองปราจีนบุรีเข้ามาพัวพันในคดีด้วย
จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ตามอ่านเรื่องราวฉบับเต็มๆ ได้ใน ‘BASED ON THAI CRIME STORIES คดีเดือดจากจุดเกิดข่าว’ นะ!