In a RE-LEARN-TIONSHIP แอบฟังจิดานันท์ กิตติศักดิ์ นริศพงศ์เมาท์ เผา ถกกัน ถึงความสัมพันธ์ต้นเรื่อง

15 ธันวาคม 2025 | by salmonbooks

สำหรับคนดูหนังแล้ว หนึ่งในช่วงเวลาน่าตื่นเต้นที่สุดของปีคือช่วงฤดูรางวัล เพราะนอกจากเราจะได้ตามดูหนังสนุกๆ แล้ว ยังจะได้เห็นนักแสดง ผู้กำกับ ทีมงานมาโปรโมตหนังของตัวเองเพื่อให้เข้าตากรรมการผ่านการออกสื่อต่างๆ ซึ่งเซสชั่นที่เราฟอสระอินฟินเป็นพิเศษ คือการพาคนที่อยู่ในตำแหน่งเดียวกันมานั่งคุยกัน นักแสดงมานั่งคุยกับนักแสดง ผู้กำกับสัมภาษณ์ผู้กำกับ และบางครั้งก็ทำเป็นโต๊ะกลมหรือ Roundtable ที่คุยกันหลายๆ คน เพราะนอกจากจะได้รู้เบื้องหลังการทำงานแบบเนิร์ดๆ มันยังมี magic บางอย่างที่เราก็อธิบายไม่ถูก 

ในฐานะคนทำหนังสือ (และเนิร์ดหนังสือด้วย) ที่คุยกับนักเขียนบ่อยๆ (aka ทวงงาน) เรารู้ว่าต้นฉบับแต่ละเล่มมีเรื่องราวมากมายอยู่ข้างหลัง นักเขียนเขาก็มีวิธีการทำงาน แรงบันดาลใจ และเรื่องเนิร์ดอื่นๆ ที่น่าเล่าให้ฟัง แต่จะสัมภาษณ์เขาแบบธรรมดาๆ มันก็ไม่ใช่แซลมอนอะดิ คอนเซปต์บทสัมภาษณ์ ‘Writers On Writers’ ที่เราจะชวนเหล่านักเขียนมาแลกเปลี่ยนกันจึงเกิดขึ้น

ขอประเดิมด้วย (รัวกลองหน่อยเร้ว) นักเขียนเซต RE-LEARN-TIONSHIP ‘ลี้—จิดานันท์ เหลืองเพียรสมุท’ ผู้เขียน ‘CAN’T REMEMBER THE LOVE, CAN’T FORGET THE LOSS เจ็บเกินจำรัก หนักเกินลืมรอย’ ‘เบส—กิตติศักดิ์ คงคา’ ผู้เขียน ‘I LOVE YOU MORE THAN I CAN PAY ผมไม่อยากมีแฟนเป็นเศรษฐี’ และ ‘มิน—นริศพงศ์ รักวัฒนานนท์’ ผู้เขียน ‘4600 AND MORE… ระยะต่าง ระหว่างกัน’ ที่จะมาเมาท์ เล่า เผา แฉ ถกเถียงกันเรื่องการงานและความสัมพันธ์ โดยที่เราขอเป็นคนแอบฟังอยู่ห่างๆ

ROUND 1 – THE WRITING

ลี้: สำหรับเซคชั่นนี้เดี๋ยวเราน่าจะคุยกันทีละคน เริ่มจากเบสก่อนก็ได้ เพราะเป็นเล่มขายดีที่สุดในสามเล่ม น้องชมพู

มิน: เอ้ออออ

ลี้: ถามจริง ก่อนหน้าโปรเจกต์นี้ แซลมอนเคยขอนิยายวายไหม

เบส: ไม่เคยเลย เคยเขียนหนังสือการเงินให้แซลมอนไปเล่มหนึ่ง คนละเรื่องเลย (ความจริงเคยเขียนอีกเล่มด้วย แต่เล่มนั้นร่วมกันเขียนกับนักเขียนอีกสองคน ชื่อ ทรัพย์พอร์ต เซนเตอร์ ศูนย์บำบัดแนวคิด พิชิตโรคทรัพย์วาย—ทีมแซลมอน)

ลี้: อันนี้ถือเป็นหนังสือการเงินไหม

เบส: เออ มันก็การเงินนะ เพราะพูดถึงเศรษฐกิจมหภาค จริงๆ แซลมอนก็คุยกับเราแหละว่าอยากได้งานแนว THE FLATSHARE ที่พักใจกลางคุณ งานแนวความสัมพันธ์ของคนเมืองที่มีความอ่านง่าย สบายๆ พอโจทย์มาแบบนี้ สำหรับเรามันก็ค่อนข้างยาก เพราะเราชอบเขียนสิ่งที่คอนเซปต์ชัด และไม่ค่อยเขียนแนวสัจนิยมเท่าไหร่ ตัวละครจะเป็นอมตะ เป็นแวมไพร์ เสกมนตร์มหาเสน่ห์อะไรก็ไม่รู้ แต่ยังดีที่ในบรรดาหนังสือที่เราอยากเขียนทั้งหมด เรามีพล็อตสัจนิยมอยู่พล็อตหนึ่งที่สามารถเขียนส่งแซลมอนได้ เราก็ถามพี่กาย (ปฏิกาล ภาคกาย บรรณาธิการบริหารสำนักพิมพ์แซลมอน) ว่าเอาเรื่องนี้ไหม แต่มันจะเป็นวายนะ 

ปกติเราจะเขียนนิยาย LGBTQ แค่สองแนวหลักๆ คือแนวขม ดิบๆ หนักๆ แบบ จวบจนสิ้นแสงแดงดาว กับแนววายจ๋าๆ แบบ ผมไม่อยากมีแฟนเป็นเศรษฐี นี่แหละ  

หลังจากนั้นเลยไปชวนลี้กับมินมาร่วมโปรเจกต์ด้วยกัน กลายเป็นโปรเจกต์นิยาย LGBTQ ที่นักเขียนสามคนแยกย้ายกันไปเขียน แล้วกลับมาด้วยอะไรไม่รู้ที่ไม่เหมือนกันเลย 

พอเทียบกับสองคน เรารู้สึกว่าเล่มของเรามันโดดมาก โดดจนต้องบอกพี่กายว่าถ้าไม่สะดวกพิมพ์ก็ไม่เป็นไรนะ แต่พี่กายก็ยินดี สะดวก เลยกลายมาเป็น I LOVE YOU MORE THAN I CAN PAY ผมไม่อยากมีแฟนเป็นเศรษฐี

ลี้: แล้วพอตั้งธงว่าจะเป็นวายแบบกระแสหลัก มีความกดดันหรือเครียดเกิดขึ้นบ้างไหม หรือไม่มี

เบส: จริงๆ เราได้ (ไอเดีย) เรื่องนี้มาจากคนในชีวิตจริงคนหนึ่ง เขาเป็นคนแบบโตเตเลย เวลาจะใช้น้ำต้องเอาขันไปรองน้ำหยดเพราะมิเตอร์จะไม่หมุน เก็บผักบุ้งจากข้างทางมาผัดกินตอนเย็น ไม่กินอาหารนอกบ้าน ทำอาหารกินเองร้อยเปอร์เซ็นต์ หุงข้าวกินทุกเม็ด มาม่ายังแพงไปสำหรับเขา เขาเป็นคนที่ไม่มีจริงๆ

เราอยากสื่อสารเรื่องนี้ออกไป เพราะสำหรับเรา คนที่อ่านหนังสือมีพริวิเลจประมาณหนึ่ง หนังสือถือว่าเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยสำหรับคนที่มีรายได้น้อยมากนะ แบบมันเป็นสิ่งที่ไม่ต้องอ่านก็ได้ ขณะที่ถ้าเอาเงินไปซื้อข้าวกินก็จะได้ประโยชน์กว่า เราเลยรู้สึกว่าคนอ่านหนังสือส่วนใหญ่อาจจะไม่ได้เห็นภาพความจนแบบจ๊นจนจริงๆ เลยอยากสื่อสารเรื่องนี้ออกไป 

ตอนเขียนดราฟต์แรกเสร็จ คนที่เป็น Beta Reader บอกว่าตัวละครจนแบบโอเวอร์มากเลยอะ จนแบบไม่มีอยู่จริง แต่เราก็ยืนยันว่าเอามาจากชีวิตคนจริงๆ คนที่ไม่ขึ้นรถเมล์เพราะรู้สึกเปลืองเงินแล้วก็เดินเอา 

แต่สุดท้ายการเขียนเรื่องนี้ก็มีข้อจำกัดอยู่ ด้วยความเป็นงานวาย เราเลยไม่อยากให้ประเด็นความจนในเรื่องไปรบกวนความสัมพันธ์จนทำให้คนอ่านไม่ได้โฟกัสสิ่งที่เป็นหัวใจหลักของเรื่อง เลยต้องปรับโทนเพิ่มนิดหน่อย

ลี้: โปรเจกต์นี้แตกต่างกับ THIS IS YOUR SOMEONE SPEAKING ฝากให้ฟังหลังลับลา ยังไงบ้าง พวกอารมณ์ความรู้สึกในการทำโปรเจกต์ร่วมกับเพื่อนก็ได้

มิน: ทำไมถึงอยากทำงานด้วยกันอีกหลังจากทำไปเล่มหนึ่งแล้ว

เบส: เอ่อออออออ (ลากเสียง) จริงๆ ถ้าพูดกันแบบเปิดอกนะ อาจจะไม่เคยบอกด้วยซ้ำ เรารู้สึกว่าใน ฝากให้ฟังหลังลับลา เราไม่ค่อยเป็นตัวเองเท่าไหร่ เพราะลี้กับมินมาในโทนที่เป็นความสัมพันธ์จัดๆ จริงจัง เราเลยรู้สึกว่างานไกลจากความเป็นกูจังเลย และเราอยากขอแก้ตัวสักนิดหนึ่ง ตอนนั้นเลยหย่อนเรื่อง (ให้อีกสองคน) ไปว่า เราอยากทำรวมเล่มอีก มาทำนิยายแนว LGBTQ กันไหม 

ตอนนั้นคิดว่าไม่ว่ายังไงกูก็ต้องเขียนงานที่เป็น Plot-based ให้ได้ เพราะถ้าคนอ่านงานเราจะรู้ว่าเราไม่ชอบงานแบบ Character-Based แต่ชอบพล็อตฉูดฉาด งานสีจัดๆ งานที่มีความเบียวหน่อยๆ เพราะเรารู้สึกว่างานกลุ่มคืองานที่อยากพรีเซนต์ตัวเอง ดังนั้นเราต้องเป็นตัวเองให้ถึงที่สุด ไม่รู้ว่ามันดีพอสำหรับคนอื่นไหม แต่สำหรับเรา การเป็นตัวเองมันดีกว่า 

ลี้: แต่ผลตอบรับก็ออกมาดีนะ (ยิ้ม) เราคิดว่าเราถามครบแล้ว ตอนนี้เบสก็น่าจะตื่นตัวพอสมควรในการถามนริศพงศ์

เบส: โอเค เราจะถามนริศพงศ์ก่อนว่าไอเดีย

มิน: เอ้า มันค้างเหรอ 

ลี้: คือแม่งพอจะถามมันก็หลุดไปเลย

เบส: อะไรอะ หลุดเหรอ

ลี้: เมื่อกี้เธอนิ่งไป ได้ยินแค่คำว่าไอเดีย 

เบส: อ๋อ จะถามว่ามีไอเดียของ 4600 AND MORE… ระยะต่าง ระหว่างกัน อยู่ก่อนทำโปรเจกต์นี้แล้วไหม ทำไมถึงเลือกเขียนเรื่องนี้ มันมาจากเรื่องจริงหรือเปล่า แล้วถ้าจริงมันจริงแค่ไหน มีอะไรบ้างที่ไม่จริงยกเว้นชื่อ

มิน: ไอ้เหี้ย

เบส: (หัวเราะ) 

มิน: เอออออ ไอ้ฉิบหาย (หัวเราะ) คืองี้ ถ้าตอบคำถามเรื่องไทม์ไลน์ เราจำไม่ได้เหมือนกันว่าอะไรมาก่อนหรือหลัง เอาเป็นว่าพอคุยเรื่องโปรเจกต์นี้ เคาะกันแล้วว่าจะทำเรื่องความรักในเมือง ไอ้สิ่งนี้ก็เข้ามาในชีวิตเราพอดี ซึ่งพอพูดว่าสิ่งนี้เข้ามาในชีวิตเราก็น่าจะตีความได้เลยว่า มันก็มีความจริงอยู่ในนั้นประมาณหนึ่ง

เบส: จิ้นอ่าาาาาาา

มิน: คือมึงถามอะไรอีกนะ เมื่อกี้มึงถามเยอะจนลืมไปแล้วว่าต้องตอบอะไรบ้าง

เบส: ไอเดียมาจากไหน แล้วถ้ามีบางส่วนที่ based on true story เราเลือกหยิบไอเดียมาก่อน แล้วพอเรื่องจริงเกิดขึ้นก็หยิบมาเขียน หรือเราเลือกหยิบเรื่องจริงมาตั้งก่อน แล้วเอาไอเดียอื่นมาประกอบ

มิน: เราว่าเราอยากเล่าเรื่องนี้เว้ย เพราะเป็นเรื่องที่มากระทบกับเราแล้วติดอยู่ในใจเรามาก เรื่องทุกเรื่องที่เขียน มันมีส่วนหนึ่งของเราอยู่ในนั้นอยู่แล้ว เราคิดว่าการเขียนคือการเอามันออกมา เราอยากเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยมั้ง แล้วพอทุกอย่างถูกกางลงไปในหน้ากระดาษ ถูกเขียนออกมาเป็นตัวอักษรแล้ว มันก็อาจจะทำให้เราเข้าใจอะไรมากขึ้น 

เบส: แล้วการทำงานเขียนที่มีส่วนสัมพันธ์กับความเป็นจริง อารมณ์ตอนที่เขียนเป็นแบบไหน มันได้ปลดปล่อยหรือกลับไปรู้สึก กลับไปเจ็บปวดอีก มีความรู้สึกอะไรเกิดขึ้นบ้างกับความทรงจำก้อนนั้น

มิน: จริงๆ ในการเขียนแต่ละเรื่องมันทำงานกับเราไม่เหมือนกัน ตอนเขียนเรื่องนี้มันมีบางซีนที่เราเขียนแล้วเจ็บหัวเลย เจ็บแบบจริงๆ เพราะมันต้องกลับไปจ้องมองเหตุการณ์นั้นอีกรอบหนึ่ง นึกภาพเหมือนเราบีบหนอง มันเจ็บเว้ย แต่หนองมันออก

เบส: มึงเปรียบเทียบได้อุบาทว์มาก เปรียบเทียบกับผ่าตัดไส้ติ่ง เนื้อร้ายก็ได้ ดันเปรียบเทียบกับหนองอะ อุบาทว์ 

ลี้: ไม่ๆ แต่อย่างในเล่มของลี้ ลี้ก็ใช้คำว่า แผลเก่าที่ยังมีหนองแล้วต้องคว้านนะ มันคือสิ่งเดียวกันอะแก

เบส: เอ้อ มันกลัดหนองอะ

มิน: แต่เอาจริงๆ นะ เหมือนตอนแรกเราคิดว่าการเขียนสิ่งนี้จะทำให้เราปล่อยมันไปได้เว้ย คิดว่าเขียนแล้วทุกอย่างจบ แต่ไม่ว่ะ กลายเป็นว่าพอสิ่งนี้ถูกผนึกบันทึกลงบนโลกนี้แล้ว เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่เห็นคนเขียนถึงมัน หรือเห็นหนังสือของตัวเอง สิ่งนี้ก็จะกลับมา

แต่เราคิดว่าเป็นเรื่องดี มนุษย์จำเป็นต้องทำอย่างนั้นเว้ย หมายถึงมองสิ่งที่ทำให้เราเจ็บปวดจนความรู้สึกนั้นเปลี่ยนไป จากตอนแรกอาจจะจี๊ดใจ แต่พอเห็นไปเรื่อยๆ ก็อาจจะเข้าใจมากขึ้น สุดท้ายเราคิดว่าสักวันหนึ่ง เราก็จะปล่อยมันไปได้จริงๆ 

เบส: มันรู้สึกเปลือยมั้ย แบบเปิดตัวตนหรือเนื้อในของเราให้คนอ่านเห็นแบบไม่มีระยะห่างเลย เหมือนเขาได้เข้ามารับรู้ความรู้สึกของเราจนไม่เหลือพื้นที่ส่วนตัวหรือเปล่า มันอันตรายหรือสร้างความรู้สึกยังไงบ้างไหม เพราะนักเขียนบางคนเขาก็จะแกล้งปิดบังบางอย่างเพื่อไม่ให้คนอื่นเข้ามาลึกเกินไป

มิน: ใช่ คือต้องบอกก่อนว่าจริงๆ ระยะต่าง ระหว่างกัน เป็นงานที่ส่วนตัวมากที่สุดของเรา อย่างตอน ด้วยรักและผุพัง มันมีเรื่องที่เรารู้สึกว่าส่วนตัวมากๆ แต่ถ้าเทียบเปอร์เซ็นต์แล้ว…

เบส: เรื่องแมวที่ผู้ชายหนีไปแต่งงานล่ะสิ

มิน: ไม่ใช่ (หัวเราะ) ระยะต่าง ระหว่างกัน มีความเป็นตัวเราสูงมาก แต่เราก็ไม่ได้คิดนะว่าถ้าเรื่องออกไปแล้วจะเป็นยังไง 

แต่เราก็เซอร์ไพรส์นะที่เห็นคนอ่านมีฟีดแบ็กต่อความสัมพันธ์ของเนตรและเรย์ต่างกันไป บางคนจะบอกว่าไอ้เหี้ย มึงอย่าคบกันเลย เป็นอย่างนี้ดีแล้ว 

เราไปเจออันหนึ่งมาน่าสนใจมาก เขาบอกว่าตอนแรกอ่านแล้วรู้สึกว่าสองคนนี้เหมือนกันมากจนเขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไปกันไม่รอด แต่พอเขาอ่านไปเรื่อยๆ ก็อ๋อ ว่าเพราะมันเหมือนกันเกินไปเว้ย เหมือนจิ๊กซอว์ชิ้นเดียวกันเลย ไม่สามารถประกบกันได้ จิ๊กซอว์มันต้องต่อกับจิ๊กซอว์ตัวอื่น 

พอความสัมพันธ์นี้ถูกมองจากสายตาของบุคคลที่ 3 4 5 6 7 8 9 10 มันเลยทำให้เราเข้าใจสิ่งนี้ได้มากขึ้น จนสุดท้าย เราได้ข้อสรุปกับตัวเองประมาณหนึ่งว่าจริงๆ ปล่อยให้เป็นแบบนี้แหละดีแล้ว 

พูดภาษาง่ายๆ คือเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่มีใครเชียร์เลยครับ เพราะฉะนั้นอย่าเลย จบแบบนี้ดีกว่า

เบส: หมดเวลาเสือกของผมแล้วคร้าบ เสือกแค่นี้พอ นริศพงศ์ถามจิดานันท์ได้แล้วจ้ะ

มิน : จิดานันท์ครับ จิดานันท์เขียนหนังสือมาเยอะจนเป็นนักเขียนอายุน้อยที่สุดที่ได้รางวัลศิลปาธร ในเมื่อเขียนงานมากมายหลากหลาย ดิสโทปงดิสโทเปีย เขียนวาย เขียนชาย-หญิง นิยายเรื่อง เจ็บเกินจำรัก หนักเกินลืมรอย ต่างจากผลงานก่อนหน้านี้ของลี้ยังไงครับ

ลี้: เนื้อหาไม่เหมือนกันเว้ย

เบส: (หัวเราะ) กูรู้ค่ะ ขอบคุณข่า ตอบดีมาก

ลี้: (หัวเราะ) นิยายเรื่องนี้มีความเป็นเรื่องจริง ส่วนหนึ่งก็เพราะตั้งใจเขียนจากเรื่องจริงด้วย คือลี้ไม่ค่อยได้เขียนเรื่องของตัวเอง ลี้จะบอกในการสัมภาษณ์ต่างๆ ตลอดว่าชีวิตลี้น่าเบื่อ (หัวเราะ) เลยไม่รู้จะเขียนเรื่องอะไร ชีวิตกูตื่นบ่ายสาม นั่งหน้าคอมพ์ กินกาแฟ ถึงเวลาก็นอน 

ก่อนหน้านี้เรามี อาจไม่เหมาะหากเปราะบาง ที่เขียนจากเรื่องตัวเองเหมือนกัน แต่เล่มนั้นเกิดจากว่าวันไหนที่เจอเรื่องแย่ๆ มา เราจะนั่งเขียนเก็บไว้ เพราะฉะนั้น ความตั้งใจตอนเขียน อาจไม่เหมาะหากเปราะบาง ไม่ใช่ว่าฉันจะเขียนเพื่อให้สาธารณชนรับรู้ แต่เริ่มจากการนำไดอารี่มารวมเล่ม แต่กับ เจ็บเกินจำรัก หนักเกินลืมรอย มันเกิดจากที่เราคุยกับเบสเรื่องชีวิตบางอย่างของเรา แล้วเบสพูดว่า ลี้ แกควรเขียนเรื่องนี้ ฉันเลยเขียน 

คือลี้เล่าให้เบสฟังว่าเจอคนคนหนึ่งที่ทำให้สงสัยในตัวเองว่าเราทำผิดอยู่ตลอดเวลา สมมติเขาทำผิด ลี้ทำถูก อยู่ดีๆ ลี้จะเป็นคนร้องไห้ขอโทษ เหมือนในฉากที่พิชชาไม่ส่งงานแล้วเจขอโทษ ทุกวันนี้ลี้ก็ยังคิดว่า เอ๊ หรือจริงๆ เราเป็นคนผิดล่ะ เรายังคุยกับเพื่อนในกลุ่มเรื่องพิชชาตัวจริงว่า แต่เขาก็ดีน้า แล้วทุกคนก็จะอ้วกแตกอะแก

นี่เลยเป็นครั้งแรกที่เริ่มเขียนงานจากชีวิตจริง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องจริงเพียวๆ เพราะมันจะไม่สนุก ปกติลี้ก็ไม่ใช่นักเขียนสาย plot-based ไม่ได้เก่งเขียนองค์สามอยู่แล้ว ถ้าเอาเรื่องจริงมาเขียนอีก เรื่องก็จะต่อนยอนและไม่มีไคลแมกซ์น่ะ เพราะฉะนั้น เหตุการณ์ทั้งหมดจึงถูกสร้างขึ้นหมดเลย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงไม่มีอยู่เลยในเล่มนี้ แต่มันจริงตรงที่คนคนหนึ่งทำกับอีกคนแบบนั้นเลย มันเป็นความจริงลวง

มิน: ความจริงลวง?

(ลี้นิ่งไป)

มิน: เฮ้ย นี่เน็ตกูเหี้ยเหรอ

เบส: เน็ตลี้เหี้ย

ลี้: ไม่จริง ไม่จริ้งงงง ก็ฉันเงียบไปเพราะพูดจบแล้วอะ แบบพูดจบแล้วหยุด ไม่ขยับตัว

มิน: อีห่า ขอบคุณนะ อะๆ ตอนเขียน เจ็บเกินจำรักฯ แน่นอนว่ามัน based on การกระทำของคนต่อคน แต่นอกเหนือจากเรื่องนั้น มีอย่างอื่นที่เป็นแรงบันดาลใจให้เราบ้างไหม เช่น หนังสือที่อ่าน เพลงที่ฟัง

ลี้: ช่วงที่เขียนเรื่องนี้ ลี้อ่านหนังสือจิตวิทยาพัฒนาตัวเองเยอะมาก อาจเพราะเป็นช่วงปีใหม่เลยมีหนังสือเหล่านี้อยู่ที่บ้านเยอะ มันเป็นช่วงที่ใครหลายคนมักจะซื้อหนังสือพัฒนาตัวเองเพราะคิดว่าตัวเองจะดีขึ้นน่ะ ลี้เลยได้อ่านเยอะมาก แล้วมันมีผลในการเขียนเล่มนี้ค่อนข้างเยอะ 

นอกจากนี้ก็ไปเสิร์ชดูพฤติกรรมของโรคหลงตัวเอง (narcissist personality disorder) ไปฟังคลิปคำพูด 10 ประโยคที่ถ้ามีคนพูดกับคุณแปลว่าเขาปั่นหัวคุณอยู่ ฉันไปฟังมาเยอะมากเพื่อจะเอามาใช้ เพื่อให้ตัวละครนี้มีความสามารถในการปั่นหัวคนได้เยอะที่สุด

มิน: มึง พิชชาเป็นคนที่มีภาวะหลงตัวเองเว้ย อันนี้เคาะให้

ลี้: ผมก็รีเสิร์ชมาเยอะเหมือนกันนะคร้าบ

เบส: เนตรเป็นเกย์ อันนี้เคาะให้ 

ลี้: (หัวเราะ)

มิน: หยุด มาถึงคำถามสุดท้ายของช่วงนี้ ความยากและความท้าทายที่สุดของการเขียนเรื่องนี้คืออะไรครับ

ลี้: ตอนที่ลี้ส่งต้นฉบับไปให้พี่กายดู ลี้กลัวอยู่หน่อยๆ ว่านักอ่านจะมองว่าจาณีนคือผู้หญิงที่จริงๆ ก็เหี้ยแต่รับบทเหยื่อ กลัวคนอ่านจะคิดว่าปัญหาก็คือมึงไง เพราะเราอยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องของคนที่เขาเจอคนแย่ๆ แล้วพยายามฮีลตัวเอง โชคดีที่ฟีดแบ็กของคนที่ได้อ่านแล้วไม่ใช่แบบนั้น เราก็ขอบพระคุณที่เห็นด้วยกับผม

ROUND 2 – THE RELATIONSHIP

ลี้: เบสคิดว่าตัวเองเหมือนโตเตหรือกองทัพมากกว่ากัน

มิน: เท่าที่ฟัง ถ้าอีโตเตจน ยังไงอีเบสก็ต้องเป็นกองทัพป้ะ เพราะรวย

ลี้: อะๆ ถ้าสมมติตัดความจนรวยออกไป แต่เปรียบเทียบในแง่ของการมองโลก ชีวิต และนิสัย เธอคือหมาเด็กเหรอ

เบส: จริงๆ กองทัพคือภาพแทนของเราตอนอายุยี่สิบต้นๆ พูดไปอาจจะโดนด่าก็ได้ แต่ขอเล่าตามความจริงว่า กูก็เติบโตมาในครอบครัวที่มีเงินประมาณหนึ่ง มันก็…

มิน: โดนแน่อีเวร (หัวเราะ)

เบส: กูอะ ไม่เข้าใจคนที่ไม่มีเงินจริงๆ เว้ย

มิน: โอ้ (หัวเราะแรงกว่าเดิม) 

เบส: คือกูไม่เข้าใจว่าทำไมไม่เอาเวลาตอนเย็นไปอ่านหนังสือวะ จะได้เรียนเก่งๆ หรือทำไมไม่เอาเวลาไปเรียนภาษาอังกฤษ คือตอนนั้นกูไม่รู้อะไรเลยอะมึง ไม่มีความรู้กระทั่งว่าชีวิตคนอื่นลำบากแค่ไหน แต่พอโตมา เรามีเพื่อนที่ไม่มีแบบไม่มีจริงๆ เลย สมมติมีเงิน 5 บาท เขาจะเอาไปซื้อข้าวแล้วขอพริกน้ำปลาฟรี แล้วเขาก็ไม่อนุญาตไม่เราช่วยเหลือ เรารับรู้ความจนของเขาได้ แต่ไม่สามารถให้เงินเขาได้ เราเลยค่อยๆ เข้าใจว่าความจนหน้าตาเป็นยังไงในตอนที่เราโตแล้ว เข้าใจว่าคนที่ไม่มี เขาไม่มียังไง เราเลยอยากเขียนตัวละครกองทัพเพื่อให้ทุกคนตั้งคำถามว่า สุดท้ายแล้วกองทัพใช้ชีวิตถูกหรือผิด โตเตเองก็เช่นกัน

สำหรับเรา คนที่อ่านหนังสือได้ไม่ใช่คนชนชั้นกรรมาชีพนะ อ่านหนังสือได้ก็ต้องใช้ชีวิตได้ในระดับหนึ่ง ผมไม่อยากมีแฟนเป็นเศรษฐี จึงเป็นหนังสือที่ตั้งคำถามกับคนทั่วๆ ไปว่าเราเข้าใจคนจนมากแค่ไหน และจริงๆ แล้วความจนมันเป็นแบบที่เราเข้าใจหรือเปล่า มากกว่านั้น เราอยากห่อหุ้มมันด้วยวิธีการเล่าโรแมนติกคอเมดี้ เพราะถ้าเราเขียนเรื่องแบบ ฟิโอดอร์ ดอสโตเยฟสกี คนชนชั้นกลางแถวๆ นี้ก็ไม่อ่านอยู่ดี เราเลยตั้งใจเขียนแบบนี้ เพื่อให้เนื้อหาที่อยากสื่อสารไปถึงคนที่เราอยากสื่อสารประเด็นนี้ด้วย

ลี้: ถามจริง เคยมีความสัมพันธ์ที่จบลงเพราะเรื่องฐานะไหม

เบส: มีนะ ตลกมากเลย คือเราเคยมีความสัมพันธ์หนึ่งที่เกือบจะประสบความสำเร็จแล้ว ใช้ชีวิตจนเหมือนเป็นแฟนกันอยู่แล้ว แต่มันสิ้นสุดได้ตลกมาก เพราะสองคนต่างกันมาก 

สำหรับเรา ถ้าชอบใครก็จะอยากอยู่กับเขาในสถานการณ์หรือพื้นที่ที่มีความสุข ถ้าเจอกันได้ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ เราก็อยากเจอกันในร้านอาหารดีๆ แต่ทีนี้อีกฝ่ายเขารู้สึกว่ามันเป็นภาระกับชีวิตเขามากเกินไป เขาจ่ายมื้อละหลายพันทุกมื้อไม่ได้ เจอกันที่ห้างตลอดไม่ได้ ตอนนั้นเรายังเด็ก เป็นกองทัพอยู่นั่นแหละ เราเลยรู้สึกว่าอ้าว โอเคเราชอบกัน ถ้าคุณไม่มีเงิน เราก็จ่ายให้ได้ คุณจะซีเรียสทำไมในเมื่อไม่ต้องเสียเงินอะไรเลย

วันหนึ่งเขาก็เลิกกับเราด้วยเหตุผลว่า กูไม่เคยเข้าใจเหี้ยไรเขาเลย การที่เราเลี้ยงทุกมื้อทุกวัน เขาอยู่ได้จริง แต่เขารู้สึกว่าตัวเองไม่เหลือคุณค่าอะไรในความสัมพันธ์นี้ ไม่รู้สึกภาคภูมิใจ แล้วเขาก็ด่าว่ากูไม่เข้าใจอะไรเลย กูก็ตั้งคำถามว่าไม่เข้าใจอะไรเหรอ อธิบายให้ฟังสิ กว่าจะรู้ว่าไม่เข้าใจอะไรก็ผ่านไปสามปี เลิกกันก็ดีแล้วแหละ กูโง่เกินกว่าที่จะคบเขาได้

ลี้: อยากถามอีกอันหนึ่งคือ แล้วมีคนที่เข้าหาเพื่อที่จะขุดทอง แบบเป็น gold digger เลยไหม

เบส: มีคนเข้ามายื่นเรซูเม่เลยค่า นี่คือโปรไฟล์ของฉัน ฉันอยากได้เดือนละ 50,000 ก็มี คือเขาพูดกับเราว่า เนี่ย คนอื่นจะให้ไปเป็นเลขาฯ ท่าทางเขาจะคิดเกินเลยกับผม ตอนนี้ผมตกงานอยู่ด้วย เขาให้ตั้ง 50,000 เลยนะ ถ้าผมมีรายได้เกิน 50,000 ก็ไม่ไปกับเขาหรอก เราเลยบอกว่าไปเถอะ โอกาสที่ดีในชีวิตนะ ไปพัฒนาตัวเอง (หัวเราะ) 

ลี้: เป็นคนดีไปอีก

เบส: ได้ตั้ง 50,000 จะรออะไรล่ะ จริงๆ 30,000 ก็ไปได้แล้ว ไปนานๆ เลย

ลี้: พี่ไม่เข้าใจผมเลยอะ ไม่เข้าใจจุดประสงค์ของผม

เบส: มึง มันปอกลอกได้ไรกลยุทธ์ไปหน่อยอะ เข้าใจป้ะ คือถ้าต้องการอะไรก็ควรจะทำให้กูตกหลุมรักมึงก่อน แล้วค่อยเริ่มปอกลอกสิ ไม่ใช่เข้ามาปอกลอกตั้งแต่วันแรก มึงบ้าป๊าว

ลี้: เขาเรียกว่าเป็นคนตรงไปตรงมา เป็นคนเปิดเผย สวัสดีครับขอเงินหน่อย

เบส: มีหลายคนนะมึง ซึ่งจริงๆ กูชอบนะ เล่าเมื่อไหร่ก็ตลกดี

ลี้: เขียนเป็นเล่มหน้าเลยครับ แต่ไหนๆ ละ เดี๋ยวกิตติศักดิ์ถามนริศพงษ์เรื่องอินไซด์ความสัมพันธ์ชายแทร่ของพวกเธอต่อเลย

เบส: ทุกคนน่าจะรู้ว่าความสัมพันธ์ระยะไกลเป็นเรื่องยาก จนถึงขั้นเป็นไปไม่ได้ เลยอยากถามว่าในวันที่เริ่มความสัมพันธ์ เรารู้สึกไหมว่าปลายทางเป็นทางตันอยู่แล้ว เริ่มไปก็เจ็บปวด และทำไมถึงยังตัดสินใจเริ่มอยู่

มิน: เรามีรุ่นน้องที่มีความสัมพันธ์แบบ long-distance เลยรู้สึกว่ามันมีความเป็นไปได้ แต่ว่าพอต้องเริ่มจริงๆ เราว่าแม่งยากเว้ย เรารู้ตั้งแต่ day 1 ว่าตอนจบคงไม่ได้เป็นอย่างหวัง แต่ตอนนั้นเราไม่อยากคิดอะไรมาก ก็แค่ทำสิ่งที่อยากทำ อยากคุยกับคนที่อยากคุย อยากอยู่กับคนที่อยากอยู่ ตามใจตัวเองแค่นั้น แต่สิ่งนี้ก็ทำให้เรียนรู้ประมาณหนึ่งว่า มึงไม่ต้องตามใจตัวเองมากก็ได้ไอ้เหี้ย สุดท้ายตอนนี้ก็ต้องมานั่งจุกอก

เบส: ถ้ามันไม่ได้เป็นความสัมพันธ์ทางไกลคิดว่าจะรอดไหม

มิน: เราคิดบ่อยว่าถ้าอยู่ไทย อะไรๆ จะเปลี่ยนไปไหม แต่มันก็เป็นพาราด็อกซ์น่ะ สมมติเราอยู่ไทย ไม่ต้องเทียวไปเทียวมาญี่ปุ่น เราก็อาจไม่ได้เจอคนคนนี้ เพราะการไปญี่ปุ่นทำให้เราได้กลับมาเจอคนหลายคนมากๆ ที่ในชีวิตนี้เราไม่เคยสนใจจะเจอ มันจะมีคนที่แบบเฮ้ย กลับมาแล้วเหรอ หรือคนที่ถามว่าอยู่ญี่ปุ่นเหรอ ตอนนี้กำลังจะไปเที่ยวญี่ปุ่น มันทำให้เราเจอคนที่ไม่คิดว่าจะได้เจอ และเรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น

แล้วถึงจะคิดไป สุดท้ายมันก็ไม่มีคำตอบให้เรา สมมติว่าอยู่ไทยก็อาจจะได้คบหรือไม่ได้คบกัน มันอาจจะมีแง่งอื่นเข้ามาในความสัมพันธ์นี้ที่ทำให้ไปไม่รอด หรือถ้าเราหนีตามคนนี้กลับมาอยู่ไทย ทิ้งทุกอย่างที่ญี่ปุ่น ไม่เอาแล้ววีซ่าหรือสัญชาติเหี้ยไรก็ตามแต่ ซึ่งพอมันไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น มันเป็นแค่หนึ่งใน what ifs แสนหมื่นล้านแบบในชีวิต มันก็ไม่มีประโยชน์ที่จะคิดเรื่องนี้หรอก 

เบส: เจ็บมั้ยกับ long-distance เอาอีกมั้ย หรือไม่เอาแล้ว

มิน: ไม่เอาแล้ว คือถ้าสมมติสนใจใครแล้วพบว่า อ๋อ มึงอยู่ไทยเหรอ งั้นมึงไปไหนก็ไปเถอะ

เบส: เหรอ ขนาดนั้นเลยเหรอ กูไม่เชื่อ พนันกับกูคนละเท่าไหร่ กูว่าถ้าหน้าตาดีมึงก็คุย

มิน: กูไม่มีเงินไปพนันกับมึง

เบส: วันก่อนมึงยังคลั่งไคล้คนส่งของอยู่เลยอีห่า

ลี้: (หัวเราะ)

เบส: ถ้าเขาคุยมึงก็คุยมะ เถียงกูดิ (ทำเสียงล้อเลียน) อยากคุยกับคุณมินจังเลยครับ แต่ผมต้องอยู่กรุงเทพฯ นะครับ มึงก็ได้ครับ ยินดีมากเลยครับ เดี๋ยวผมจะคุยจากโตเกียวนะครับ ร้อยเปอร์เซ็นต์อีห่า

มิน: เหี้ยมาก แต่ถ้าเป็นคนที่เรารู้สึกว่าใช่ก็คงแบบนั้นมั้ง คือเวลาจะตัดสินใจอะไร เราเป็นคนใช้อารมณ์นำอยู่แล้ว ก็เลยคิดว่าไม่แน่มั้ง ต้องรอดูกันต่อไป อาจจะมี ระยะต่าง ระหว่างกัน 2.0 ก็ได้

เบส: แล้วเคยรู้สึกบ้างมั้ยว่าการพยายามไปอยู่ต่างประเทศของเราเป็นปัญหากับการลงหลักปักฐานกับใครสักคน หรือเคยต้องเลือกไหมระหว่างการมีความสัมพันธ์ระยะยาวกับความฝันที่จะไปอยู่ต่างประเทศ คือเรารู้สึกว่า การไปอยู่ต่างประเทศ ถ้าไม่เจอ long-term relationship ก็ต้องเจอกับความแตกต่างด้านวัฒนธรรม เชื้อชาติ ภาษาอยู่ดี มันเหมือนเป็นทางแยกของการเลือกเหมือนกัน

มิน: ตั้งแต่มาอยู่ญี่ปุ่น เราคิดเรื่องนี้ตลอด ไม่ใช่แค่เรื่องของความสัมพันธ์นะ เรารู้สึกว่าพอมาอยู่ญี่ปุ่น เราต้องวางชีวิตที่ไทยไว้แล้วไปสร้างชีวิตใหม่ ซึ่งแปลว่าชีวิตที่ไทยจะไม่ได้ไปต่อกับเราเว้ย 

ช่วงที่ทุกอย่างมันยากมากๆ เราพูดกับพี่คนหนึ่งว่า ราคาที่ต้องจ่ายมันแพงเหมือนกันนะ แต่เราคิดว่าเราเลือกแล้ว และเราพร้อมที่จะจ่าย นั่นหมายความว่า ถ้าเรารู้สึกว่าวันไหนมันแพงเกิน เราก็คงจะเลือกทางใหม่ แต่ว่าจะทางไหน เราก็ไม่รู้เหมือนกัน

เบส: อยู่ไทยมึงก็ไม่มี มึงเชื่อกูดิ

มิน: อีห่า

เบส: ถามหมดแล้ว ไปถามลี้ต่อได้

มิน: ครับ สิ่งที่จะถามลี้จริงๆ มันเป็นประเด็นที่เราสนใจนะ เป็นเรื่องของการครหาคนที่ประกาศตัวเองว่าเป็นไบเซ็กชวล สมมติถ้ามึงเป็นผู้ชายแล้วบอกว่าเป็นไบ คนเขาจะตีความว่าจริงๆ มันเป็นเกย์ มึงอย่ามา อุ๊ย ผู้หญิงก็ได้นะครับ หรือพอเป็นผู้หญิงก็จะมีคำว่า เดี๋ยวก็หาย สมมติพูดจาเหี้ยๆ ก็คือเดี๋ยวเจอเอ็นก็หาย ลี้คิดว่าความอุบาทว์นี้เกิดจากอะไร และความยากลำบากนี้มันต่างกันไหมระหว่างผู้หญิงที่เป็นไบเซ็กชวลกับผู้ชายที่เป็นไบเซ็กชวล

ลี้: มีสองเรื่อง เรื่องแรกคือลี้รู้สึกว่า ใช่ สำหรับผู้ชายมันยากกว่า ไม่ต้องพูดถึงเรื่องไบก็ได้ สมมติลูกเป็นเกย์ บางบ้านเกิดปัญหามากมาก บางบ้านโดนพ่อกระทืบ แต่ถ้าลูกเป็นทอม พ่อแม่จะแบบ โอ๊ย มันเป็นเด็กเรียบร้อย ไม่มีผัวเลย

มิน: (หัวเราะเอิ๊กอ๊าก)

ลี้: เก็ตป้ะ หรือถ้าหากลูกเป็นเบี้ยน บางบ้านที่พ่อแม่ไม่อยากให้ลูกมีแฟน เขาก็มองว่าการมีแฟนเป็นผู้หญิงเป็นเรื่องโอเค

มิน: ดีกว่ามีแฟนเป็นผู้ชาย ถ้าตอนมัธยมนะ

ลี้: อะไรอย่างนั้น แล้วลี้รู้สึกว่ามันยังเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ รู้สึกเหมือนการเป็น LGBTQ เพศหญิงในสังคมไทย ใน พ.ศ.นี้ ง่ายกว่าการเป็น LGBTQ ในเพศชาย 

ส่วนเรื่องที่ลี้เขียนลงใน เจ็บเกินจำรักฯ ที่บอกว่าเฮ้ย พอเป็นไบชาย เขาก็มองว่ามันคือเกย์ที่เปิดทางเลือกไว้นิดหนึ่ง แต่พอเป็นไบหญิง เขาก็มองว่า เฮ้ย มันอาจจะสวิตช์ไปมาได้ เอาจริงๆ ลี้รู้สึกว่าสิ่งนี้เกิดจากการครอบงำของปิตาธิปไตยไหม มันคือเรื่องของอำนาจ คือถ้าผู้ชายเจอลึงค์ทีเดียว มึงต้องเป็นเกย์เลย ส่วนผู้หญิง ต่อให้มึงเบี้ยนมาขนาดนี้ พอเจอลึงค์ปุ๊บ มึงต้องกลับมาเป็นผู้หญิง ศิวลึงค์คือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ฉิบหายเลย

มิน: ไม่ได้ยินคำว่าลึงค์มานานมากแล้ว ขอบคุณนะครับที่พูดออกมา

ลี้: คือไอเคยเถียงกับผู้ชายสมัยเรียนมหา’ลัยเรื่องเปลี่ยนทอมให้เป็นเธอ เขาก็บอกว่าเนี่ย เดี๋ยวถ้าเจอควxผู้ชายดีๆ ยูก็หายเป็นเลสฯ ผมเลยถามเขาไปว่า งั้นพี่โดนผู้ชายตอกตูดทีเดียว พี่จะเป็นเกย์รับร่านเลยใช่มั้ย เขาเลยไม่คุยด้วยอีกเลย

เบส: (หัวเราะ)

มิน: โอเค อีกประเด็นที่สนใจคือ เจ็บเกินจำรักฯ กับ ระยะต่าง ระหว่างกัน มีความเหมือนกันอย่างหนึ่งคือมันเป็นการอาวรณ์ถึงใครสักคนที่เคยอยู่ในชีวิตเราแต่ไม่ได้อยู่แล้ว และมันคือเรื่องของความทรงจำ ลี้คิดว่าเราเลือกจำสิ่งที่ดีและสิ่งไม่ดีที่เกิดขึ้นในชีวิตเราได้ไหม

ลี้: เอ่อ พวกคุณแม่งเป็น Club Friday ส่วนผมเป็น ธเนศ วงศ์ยานนาวา

มิน: จริง

ลี้: ต้องบอกว่า ความทรงจำของพวกคุณทั้งหมดแม่งเกิดจากการเลือกจำเว้ย ความทรงจำของทุกคนบนโลกใบนี้ไม่มีอะไรเป็นความจริง สมมติว่าความจริงตั้งอยู่ตรงนี้ แต่คุณมองมาจากฝั่งนู้น คุณจะเห็นแค่ด้านหน้าของมัน แล้วคุณก็จะเริ่มจำด้านหน้าของมัน หรือถ้าเห็นมาจากด้านหลัง คุณก็จะเห็น 50% ของความจริง จำแค่ครึ่งหลังของมัน

สิ่งที่เราจำมีรากฐานมาจากความจริง แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจำความจริง ไม่มีใครจำความจริงได้หมด 

ความจริงแบบไหนที่คนเลือกรับเข้าไปในตัวอาจจะมาจากการผสมผสานวัฒนธรรม ความเชื่อ รอยแผลเก่า ความเมาในขณะนั้น หรืออะไรก็ตาม คือถ้าจำตอนกินเหล้ามันก็จะเบี้ยวๆ นิดหนึ่ง เช่น จำได้ว่าให้เงินไป 50 แต่จริงๆ ให้เงินไป 500 บาท ทุกสิ่งทุกอย่างในหัวเราเลยเป็นความทรงจำที่จิตสำนึกเกลามาแล้วทั้งหมด โดยที่เราเองก็ไม่รู้ว่าเราเลือก มันจึงเป็นไปได้ที่คนบางคนมักจะจำเพื่อนคนหนึ่งว่าเป็นคนดีมากๆ ขณะที่อีกคนจำว่าอี่นี่เคยบูลลี่กู เพราะแต่ละคนเจอช่วงเวลาต่างกัน 

ถามว่าแบบนี้จะทำให้เราจำสิ่งที่ผิดไหม สมมติไอ้เอบูลลี่ไอ้บี แต่ไอ้เอก็แบ่งเป๊บซี่ให้ไอ้บีกินตลอด ถ้าไอ้บีจำว่าเขาเป็นคนดี ถามว่าผิดไหม ก็ไม่ผิดในโลกของไอ้บี ถ้าไอ้บีเลือกจะจำแต่เรื่องเป๊บซี่ แปลว่าไอ้บีเป็นคนที่ไม่อยู่กับความจริงหรือเปล่า อาจใช่ แต่มนุษยชาติทั้งหมดก็ไม่ได้อยู่กับความจริง พวกเราไม่ได้รับรู้อะไร 100 เปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว ซึ่งถ้าถามว่าการจำแค่ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องถูกหรือผิดก็เป็นเรื่องที่จะต้องคุยกันต่อไป มันยาวเกินไปที่จะคุยที่นี่ (หัวเราะ)

มิน: ขอบคุณคุณธนา วงศ์ยานนาเวศ ครับ แต่ยังมีอีกคำถามหนึ่งที่อยากรู้คือ เมื่อลี้เดินออกไปจากชีวิตใครสักคนหนึ่ง อยากให้เขาจำแบบไหน

ลี้: เขาจะจำกูแบบไหนก็เรื่องของเขาเว้ย

มิน: (หัวเราะ)

ลี้: เหมือนที่มีคนถามท่านพุทธทาสภิกขุไงที่ว่า ถ้าพุทธทาสตายแล้ว ทุกคนจะทำยังไง พุทธทาสบอกไม่รู้ เพราะตอนนั้นไม่อยู่แล้วอะ (หัวเราะ) ดังนั้นเขาจะจำกูแบบไหนก็เรื่องของเขา แต่เวลาลี้เดินออกมาจากชีวิตใคร สมมติลี้ไปเล่าว่าไอ้เนี่ยไม่ดี มันทำนู่นทำนี่ สุดท้ายลี้ก็จะพูดว่าเขามีข้อดีนะ เขาเป็นคนดีนะ เพราะจริงๆ คนพวกนี้ไม่ได้เป็นคนเลว มันไม่ได้เป็นคนที่อยู่ๆ ก็เดินไปกระทืบยายใครมั่วซั่ว เก็ตป้ะ

เบส: ถ้าเขาเดินไปกระทืบยายใคร ลี้ก็จะหาข้อดีของเขาอยู่ดี

ลี้: ขอบคุณครับจาณีณ อะ หมดส่วนของเราแล้ว ต่อไป ROUND 3

ROUND 3 – THE RE-LEARN-TIONSHIP

ลี้: จริงๆ เหมือนมินจะตอบไปแล้วว่าการเขียนหนังสือชุดนี้ได้ปลดล็อกอะไรในใจไหม เลยอยากรู้ของเบสบ้าง

เบส: สำหรับเรา มันคือการอุทิศให้ตัวเองในวัยเด็กที่ยังไร้เดียงสากับความจน มันเหมือนได้กลับไปขอโทษตัวเองที่โง่ในวันนั้น อาจจะทำตัวรู้น้อยไปหน่อย วันหนึ่งเราเหมือนได้กลับมาล้างความรู้สึกผิดในใจว่าสุดท้ายเราก็ได้เข้าใจแล้วจริงๆ

ลี้: โอเค ส่วนของเรา มันไม่ใช่การเขียนแล้วปลดล็อก เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นนานหลายปีมากแล้ว แล้วเราก็เคลียร์กับมันหลายรอบแล้ว เราถึงมาเขียน เราปลดล็อกมานานแล้วเพิ่งมาเล่าน่ะ

ลี้: ทุกคนรู้สึกยังไงกับการทำงานในโปรเจกต์นี้ 

เบส: ให้ลี้ตอบก่อน

ลี้: รู้สึกดีนะ ไม่เดียวดาย คือนักเขียนเป็นอาชีพที่อยู่คนเดียวมากๆ เราเลยไม่รู้ว่าจะไปเล่าเรื่องของเรากับใคร เช่น วันนี้เขียนได้ห้าหน้าแหละ เพื่อนที่ทำงานออฟฟิศอาจจะบอกว่ากูไม่ได้อยากรู้ว่ามึงเขียนได้กี่หน้า จะเขียนได้ห้าหน้าก็เรื่องของมึง แต่กับโปรเจกต์นี้ เนื่องจากทุกคนเป็นเพื่อนร่วมงานเรา ทุกคนเลยมีหน้าที่ในการรีแอ็กว่าห้าหน้าเลยเหรอ

มิน: จริงๆ เรารู้สึกตั้งแต่ ฝากให้ฟังหลังลับลา แล้วแหละว่ามันไม่ใช่แค่การทำงานกับนักเขียนสองคน แต่เราได้เพื่อนอีกสองคนเข้ามาในชีวิต (ทำเสียงเก๊ก) (เบสหัวเราะ) เอาจริงๆ เราถือว่าเป็นเด็กในวงการเนาะ พอได้รู้จักลี้กับเบสเลยเหมือนมีเพื่อนที่มีเส้นทางคล้ายคลึงกันมาแชร์ความไม่สมประดีและความไม่มั่นใจไปด้วยกัน การทำงานร่วมกันเลยเป็นอะไรที่มากกว่าแค่การทำงาน แต่ถ้าพูดในส่วนของชิ้นงานจริงๆ เรารู้ว่าเราสามคนไม่เหมือนกันเลย ซึ่งเรามองว่ามันเป็นเรื่องที่ดี 

เบส: เราคิดเหมือนมิน มันมีพื้นที่ปลอดภัยในการทำงานจริงๆ คืออย่างตอน ฝากให้ฟังหลังลับลา เราว่าเรื่องมันใกล้กันไปหน่อย มันมีความกูต้องรอด มึงต้องรอดไปด้วยกัน เพราะอยู่เล่มเดียวกัน แต่พอแบ่งเป็นสามเล่ม มันเหมือนมีที่หายใจซึ่งกันและกันมากขึ้น พองานออกมาเลยรู้สึกว่าโอ้โห แต่ละคนโคตรเป็นตัวเองเลย 

สิ่งหนึ่งที่เราดีใจคือระหว่างการทำงานมันแฮปปี้มาก เราผ่านการทำงานกับนักเขียนมาหลายกลุ่ม แต่ไม่มีกลุ่มไหนที่สบายใจเท่ากลุ่มนี้มาก่อน ในฐานะคนเริ่มต้นถือโปรเจกต์นี้ไปคุยกับพี่กาย เราดีใจที่พองานเสร็จแล้วทุกคนมองว่ามันเป็นอีกเล่มหนึ่งในชีวิตที่สามารถยิ้มกับมันได้อย่างมีความสุข

เราว่าการทำโปรเจกต์นี้เหมือนสนามเด็กเล่นของนักเขียนสามคนที่มาทำงานด้วยกัน รู้ว่าไม่ได้มาเพื่อสร้างประติมากรรมที่ใหญ่โตโอฬารหรืองานมาสเตอร์พีซ แต่มันเหมือนพื้นที่ที่ทำให้เราได้ทำความรู้จัก ทดลอง ตื่นเต้นกับเรื่องราวที่เล่า และเป็นพื้นที่ที่สนุกดีที่ได้อยู่ด้วยกันตรงนี้

5 Things You May Not Know About 

the Writers of RE-LEARN-TIONSHIP Series

1. ก่อนจะเป็นไอเดียซีรีส์ RE-LEARN-TIONSHIP มีไอเดียอื่นที่เกือบจะทำไหม

เบส: ตอนแรกเราคุยกันว่าจะเขียนรวมกันสามคนในเล่มเดียว เป็นรวมเรื่องสั้นความสัมพันธ์ แต่ด้วยข้อจำกัดหลายอย่างและความแตกต่างของแต่ละเรื่อง มันเกินจะรับไหวที่จะอยู่ในเล่มเดียวกัน สุดท้ายเลยแยกออกมาเป็นสามเล่มครับ

2. ถ้า บ.ก.ชวนมาทำโปรเจกต์แบบนี้อีกจะมาไหม

มิน: จริงๆ ก็คุยกันเรื่อยๆ นะว่าทำไรต่อไปดี

เบส: ถ้าเขียนเรื่องเหนือจริงได้จะทำ ถ้าเป็นสัจนิยมแบบนี้อีกก็ไม่ไหวแล้ว ชีวิตเราไม่เรียลลิสติก เราอยู่กับแม่ซื้อ กับจินตนาการ ให้เล่าเรื่องสมจริงมันยากเกินอะ

3. โปรเจกต์หน้าอยากทำอะไร

ลี้: ตอนนี้ลี้ไปแย็บๆ กับ บ.ก.แล้วว่ายังอยากทำสไตล์แบบ RE-LEARN-TIONSHIP อีกสักเล่ม ซึ่ง บ.ก.เองก็มองว่าคอนเซปต์ตรงนี้มันมีศักยภาพที่จะไปชวนนักเขียนคนอื่นมาทำได้ด้วย เขาเลยอาจจะไปหานักเขียนคนอื่นมาร่วมโปรเจกต์อีก

4. มีอะไรอยากฝากถึง บ.ก.ไหม

เบส: ขอบคุณพี่กายและแซลมอนที่เชื่อในหนังสือชุดนี้ เพราะตอนที่ทำเสร็จ เรายังไม่เชื่อเลยว่ามันจะตีพิมพ์ได้จริงๆ เนื่องจากมันเป็นงานที่แตกต่างกันมาก เลยกลัวคนซื้อไปแล้วคาดหวังว่าจะได้อ่านเล่มที่บรรยากาศคล้ายๆ กัน ซึ่งมันก็กลายเป็นโจทย์ยากของสำนักพิมพ์ในแง่ของการสื่อสาร 

เราพูดกับพี่กายตลอดว่าถ้าไม่สบายใจไม่ต้องพิมพ์ก็ได้ เพราะเราเข้าใจว่าสำนักพิมพ์คือหน่วยธุรกิจหนึ่งที่เขาต้องอยู่ได้ด้วยตัวเอง สุดท้ายพี่กายก็เมตตาและทำมันออกมาจนเรารู้สึกว่าเราดีใจนะ เราว่างานชุดนี้จะไม่ได้ดีเท่านี้ถ้าไม่ได้อยู่ในมือแซลมอน

5. ขอหนึ่งคำสำหรับโปรเจกต์นี้

ลี้: ถ้าเป็นเล่มของฉัน ฉันมีคำเดียวคือ โอ๊ย คนอ่านทุกคนรู้สึกแบบนี้เว้ย

มิน: ขอบคุณ แค่นี้เลย

ลี้: นางสาวไทยมาก

เบส: ของเราก็…ฮิ้วววว (แซวให้เขิน) แล้วกัน จะได้กลายเป็น โอ๊ย ขอบคุณ ฮิ้วววว

มิน: ตรงคาแรกเตอร์ของแต่ละคนดี

____________________________________________________________________________________


RELATED ARTICLES

VIEW ALL