อดทนเวลาที่ฝนพรำ อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เห็นถึงความแตกต่าง…
แต่ตอนนี้จะแตกต่างกี่โมง เพราะฝนตกทุกวันเลย ผ้าไม่แห้งสักที 😭
ถึงทุกคนจะรู้กันอยู่ว่าประเทศไทยมีสามฤดู แต่เราก็มักจะพูดอย่างติดตลกกันเสมอว่าสามฤดูที่ว่านั้นคือ ร้อน ร้อนมาก และร้อนมากๆ ส่วนช่วงเดือนมิถุนายนถึงตุลาคมนี้ก็เรียกได้ว่าเจอแต่ฝน ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งที่สภาพอากาศของเราสลับไป-มาแค่นี้ ก็เพราะว่าประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตร้อน (tropical zone) และตั้งอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร ทำให้มีลักษณะภูมิอากาศร้อนชื้น อุณหภูมิสูง และมีฤดูฝนยาวนาน
กลับกัน ประเทศในเขตอบอุ่น (temperate zone) เช่น ประเทศในแถบยุโรป จะมีสี่ฤดู นั่นก็คือฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาว และฤดูใบไม้ผลิ แต่บางประเทศในทวีปเอเชียก็นับว่าอยู่ในเขตอบอุ่นเช่นเดียวกัน และหนึ่งในนั้นก็คือ ‘เกาหลีใต้’
วันนี้เราจึงอยากชวนมาฟังเรื่องราวจากสี่ฤดูในเกาหลีใต้ของ ‘ก๊อต–ปิยฤทธิ์ ปัญจธรรมวิทย์’ จากหนังสือ ‘HOME AWAY FROM HOME เกาหลีใต้ ที่เห็นและไปอยู่’ บันทึกการเดินทางท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านของแสงแดดจ้า ใบไม้ร่วงหล่น อากาศหนาวเหน็บ และดอกไม้ผลิบานในวันที่อากาศดี
หากใครอยากรู้ว่าในแต่ละฤดูก๊อตต้องเจอเรื่องราวอะไรบ้าง เลื่อนลงข้างล่างได้เลยยยย

“เริ่มแรกเมื่อมาถึง ผมเลือกที่จะพักอาศัยในโฮสเทลเพราะว่าหนึ่ง—ราคาถูก สอง—ผมชอบบรรยากาศการพบเจอเพื่อนใหม่รอบโลกที่ทำให้ตื่นเต้นพอๆ กับการเดินทาง
แต่ถ้าจะให้ว่ากันถึงโฮสเทลที่พีกที่สุด มีเพียงหนึ่งเดียวที่เด้งออกมาจากความทรงจำ มันเป็นโฮสเทลในย่านครึกครื้นแห่งหนึ่งในโซล
จากหน้าตาภายนอกทำเอาผมสบถออกมาทันทีว่าสมแล้วที่ได้รีวิวดีงาม เพราะนอกจากจะสะอาด มีสไตล์ ยังมีบาร์ชั้นใต้ดินอีกต่างหาก
วันนั้นผมออกไปข้างนอกทั้งวัน พร้อมมากที่จะกลับไปอาบน้ำนอนชาร์จแบตให้เต็ม แต่พอถึงห้อง ผมเงยขึ้นไปดูที่เตียงชั้นสองของตัวเอง อ้าว หนุ่มยูโรเปียนร่างยักษ์กำลังหลับกรนสนั่นอยู่บนนั้น ผมเลยเดินไปแจ้งพนักงานว่ามีคนเมามานอนที่เตียง พนักงานไปเจรจาแต่ไร้ผล เลยย้ายผมไปอีกห้อง มันคือห้องสตาฟฟ์ แต่พอถึงห้อง ผมเปิดประตู แล้วปิดทันที
เพราะภาพที่เห็นคือหนุ่มสาวคู่หนึ่งกำลังทำกิจกรรมเข้าจังหวะกันอย่างเมามัน หลังจากนั้น ผมไม่ได้ไปหาพนักงาน แต่เดินกลับไปเก็บกระเป๋า กดจองโรงแรมชื่อดังแบบไม่คิด เพราะในหัวตอนนั้นมีแต่คำว่า กู-จะ-นอน”

“แขกที่โฮสเทลที่ผมทำงานชอบมาถามอยู่บ่อยๆ ว่า ประเทศยูมีกี่ฤดู ผมก็ตอบไปตามตรง แต่มีแขกกลุ่มหนึ่งถึงกับทำหน้าช็อกหลังผมบอกว่าอากาศหนาวสุดที่เคยเจอมาอยู่ที่ราวๆ 16-18 องศา ผมเลยรู้สึกตื่นเต้น เพราะว่าผมกำลังจะได้เจอฤดูใบไม้ร่วงตัวจริงเสียงจริง
วันหนึ่งในฤดูใบไม้ร่วง ผมได้รับข้อความจาก ‘ซูโอ’ เพื่อนชาวเกาหลีว่า ‘มาหากูหน่อย กูอกหัก’
ระหว่างเดินทางไปที่ห้องของซูโอ สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้หลากสี ทั้งเหลือง ส้ม แดงที่ไหวเอนตามแรงลมไปมา บรรยากาศดีมันก็ดีจริง แต่จะว่าไปมันก็เงียบเหงาแปลกๆ เหมือนที่คนเกาหลีใต้หลายๆ คนยกให้ฤดูนี้เป็นเหมือนกับชายหนุ่มสุขุมนิ่งเงียบ แต่จริงๆ แล้วข้างในกลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
เมื่อปีที่แล้ว ซูโอผิดหวังจากความรักเนื่องจากโดนนอกใจ ทว่าถึงวันนี้ ซูโอค่อยๆ ขยับตัวเองกลับไปหาความรักอีกครั้ง ซูโอไม่ได้เล่าว่าทุกอย่างไปได้สวยหรือเปล่า แต่จากที่นั่งอยู่กับซูโอพร้อมกับเบียร์ที่รสชาติกร่อยๆ จืดชืดกว่าปกติ ก็พอจะบอกได้ทันทีว่าทุกอย่างลงเอยไม่ต่างไปจากเดิม
ฤดูใบไม้ร่วงงั้นหรือ… ผมมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง ควันบุหรี่ของซูโอค่อยๆ ลอยอ้อยอิ่งมาบดบังทำให้ภาพตรงหน้ารางเลือน”

“ตอนแรกปัญหาที่ผมกลัวที่สุดคือแผ่นดินไหว แต่จริงๆ แล้วเรื่องที่น่ากลัวที่สุดคืออากาศหนาวต่างหาก…
ผมยังจำวินาทีที่รถไฟจากสนามบินจอดเทียบสถานีแรกได้ดี จังหวะที่ประตูเปิดแล้วลมเข้ามา ผมบอกกับตัวเองว่าอากาศหนาวที่ผ่านมาทั้งหมดในชีวิตนั่นน่ะปลอม ที่ตีหน้ามึงไปเมื่อกี้นี่แหละก๊อต ของจริง
ช่วงหนึ่งผมรู้สึกว่าทำไมตัวเราอ่อนด้อยต่อหน้าหนาวขนาดนี้นะ แต่ไม่นานหลังจากนั้น ผมก็ได้ยืนยันจากข่าวว่า ไม่ใช่เว้ยก๊อต มึงไม่ได้อ่อนแอ แค่หน้าหนาวคราวนี้มันหนาวที่สุดในรอบ 30 ปี
‘สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล ขอแสดงความกังวลและความห่วงใยมายังชาวไทยที่พำนักอาศัยอยู่ในสาธารณรัฐเกาหลี เนื่องจากจำนวนคนไทยที่เสียชีวิตในสาธารณรัฐเกาหลีมีแนวโน้มเพิ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี’
ผมอ่านแล้วก็ไม่ได้ตกใจอะไรมาก ก็แค่จากปกตินั่งดื่มเบียร์กันในห้องซูโอ วันนั้นผมนั่งดื่มน้ำส้มร้อยเปอร์เซ็นต์ประกอบการอัพเดตเรื่องราวชีวิตแทนเท่านั้นเอง”

“ระหว่างที่ออกมานอกห้องเพื่อหาอะไรกิน ผมพบว่าทุกอย่างรอบตัวทำให้ผมรู้สึกดีไปหมด นี่หรือคือฤดูใบไม้ผลิ ต้นไม้ใบหญ้าเริ่มออกดอกมากขึ้นตามวันที่ผ่านไป ผู้คนสลัดเสื้อกันหนาวทิ้ง เผยให้เห็นสีสันของเสื้อผ้าที่กระชับตัวมากขึ้น รอยยิ้มมีให้ได้ยินได้เห็นตลอดทางไม่ว่าเราจะเดินไปที่ไหน
ในวันที่อากาศอุ่นและรอบตัวเต็มไปด้วยความสุข ผมเลื่อนไปเห็นโพสต์ในเฟซบุ๊กว่าเพื่อนของผม—โซ่และยอนซึง กำลังจะมีสมาชิกใหม่ลืมตามาดูโลก
ในโอกาสที่บรรยากาศกำลังดี ผมเลยถือโอกาสเอาเรื่องที่ทั้งคู่เล่าให้ฟังผ่านวิดิโอคอลมาเล่าต่อให้ทุกคนฟัง
ทั้งคู่เจอกันครั้งแรกตอนที่ยอนซึงมาเที่ยวที่ไทย และเพื่อนคนไทยของยอนซึงเสนอตัวพาไปกินข้าว แต่เผอิญวันนั้น เพื่อนของเธอติดธุระและต้องตามไปทีหลัง เลยต้องการให้ใครสักคนไปดูแลเธอก่อน ซึ่งหวยก็ออกที่โซ่ คนที่บังเอิญพักอยู่ใกล้ร้านอาหารที่สุด
ผมถามทั้งคู่ว่า จำได้มั้ยว่าตอนไหนที่เรียกว่าเป็นแฟนกัน แต่ไม่มีใครจำได้ เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นไวมาก แต่ถ้าถามว่าจริงจังช่วงไหน ทั้งคู่บอกว่าก็คงจะเป็นตอนที่โซ่ต้องไปเรียนต่ออเมริกาหนึ่งปี และยอนซึงต้องลาออกจากงานไปหาโซ่ ตอนนั้นแหละที่ทั้งคู่คุยกันว่าอยากจะแต่งงาน
‘เคยทะเลาะกันแรงๆ ไหม’ ผมถาม
‘เราไม่เคยทะเลาะกันหนักๆ เลย เพราะเวลาเจอกันยังไม่ค่อยจะมี’
แวบหนึ่งผมนึกถึงความรักของตัวเองที่ไม่รู้แม้กระทั่งว่าตอนนี้มันเป็นยังไง ยิ่งฟังทั้งคู่พูด ยิ่งรู้สึกว่าเรายังต้องเดินทางไปบนถนนเส้นนี้อีกยาวไกล
ก่อนวางสาย ผมถามถึงชื่อลูกสาวของทั้งคู่
คำตอบที่ได้ยินทำเอาผมยิ้มกว้างขึ้นไปอีก
เธอมีชื่อว่า บม
บมที่แปลว่าฤดูใบไม้ผลิในภาษาเกาหลี”